วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

องค์ประกอบสำคัญของเครือข่าย LAN

องค์ประกอบสำคัญของเครือข่าย LAN


                 องค์ประกอบที่สำคัญสำหรับเครือข่ายท้องถิ่นสามารถแยกออกเป็นส่วน ๆ ได้ดังนี้
                 1. ฮาร์ดแวร์
                 2. สายสื่อสาร
                 3. LAN ซอฟต์แวร์
                 4. รูปแบบการเชื่อมโยงเครือข่าย หรือโทโปโลยี(Topology)
                 5. เทคนิคการส่งสัญญาณ
                 6. LAN โปรโตคอล
 
ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์ใน LAN
                 ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อิเลบ็คทรอนิกส์ที่จำเป้นและสำคัญในการประกอบขึ้นเป็นระบบเครือข่าย
ท้องถิ่น ได้แก่
                 1. เทอร์มินัลของผู้ใช้ หรือเรียกว่า เวิร์กสเตชั่น(Workstation) หรือ โหนด (Node) ได้แก่ เครื่อง
PC จอเทอร์มินัล และอุปกรณ์ในการพิมพ์ สำหรับผู้ใช้งานสามารถติดต่อสิ่อสารเข้าสู่ หรือออกจากระบบ LAN
                 2. ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ (File Server) โดยทั่วไปคือฮาร์ดดิสก์ ซึ่งทำหน้าที่เก็บแฟ้มข้อมูล แอปพลิเคชั่น
ซอฟต์แวร์ และไปรษณีย์อิเล็คทรอนิกส์ เพื่อให้บริการแก่เทอร์มินัลของผู้ใช้งานภายในเครือข่าย ในเครือข่าย LAN ทั่ว ๆ ไป ส่วนใหญ่จะมีเพียงไฟล์เซิร์ฟเวอร์เดียว แต่สำหรับเครือข่าย LAN ที่มีลูกข่าย หรือเทอร์มินัล มาก ๆ อาจจะมีไฟล์เซิร์ฟเวอร์มากกว่า 1 เครื่องก็ได้
                 3. แผงอะแดปเตอร์เชื่อมต่อเครือข่าย หรือ NAC (Network Adapter Card) หรือเรียกว่าแผง
อินเตอร์เฟซ NIC (Network Interface Card) แต่โดยทั่วไปเราเรียกกันง่าย ๆ ว่า "LAN Card" หน้าที่ของ LAN Card ก็ทำงานเช่นเดียวกับอินเตอร์เฟซ RS-232-C การ์ดของเครื่อง PC ซึ่งใช้สำหรับการเชื่อมต่อการ สื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะโดยผ่านทางโมเด็ม สำหรับ LAN Card จะมีหน้าที่ในการส่งข้อ มูลจากเครื่อง PC หรือสเตชั่นเข้าสุ่เครือข่าย และทำหน้าที่รับข้อมูลจากเครือข่ายเข้าสู่เครื่องสเตชั่น โดยปกติ แล้วทุกสเตชั่นจะมี LAN Card ติดตั้งอยู่ด้วย
 
ตัวอย่างการใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ในเครือข่าย LAN แบบ BUS
                 4. คอนเนคเตอร์หรืออินเตอร์เฟซ (Connector หรือ Interface) เป็นกล่องหรือแผงวงจร
อิเล็คทรอนิกส์ที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อเทอร์มินัลหรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่าย ตัวอย่างได้แก่ NIU (Network Interface Unit) เป็นอินเตอร์เฟซสำหรับเชื่อมต่อเทอร์มินัล และคอนโทรลเลอร์เข้ากับเครือข่าย หรือคอนเนคเตอร์รูปตัว T ที่นิยมใช้ในเครือข่าย LAN แบบ BUS ราคาของคอนเนตเตอร์ หรือ อินเตอร์เฟซขึ้น อยู่กับจำนวนของพอร์ตที่สามารถต่อเข้ากับอุปกรณ์ได้มากน้อยอุปกรณ์
                 5. ทรานซีฟเวอร์ (Transceiver) หรือ AUI (Attachment Unit Interface) เป็นอุปกรณ์ที่
ทำหน้าที่เชื่อมต่อการสื่อสารของสเตชั่นเข้ากับของเครือข่ายเช่นเดียวกับคอนเนคเตอร์ หรือ อินเตอร์เฟซ ในเครือ ข่าย LAN ทั่วไป ทรานซีฟเวอร์จะอยู่ใน LAN Card แต่ในเครือข่าย LAN บางแบบ EtherNet อาจใช้ ทรานซีฟเวอร์เชื่อมต่อโดยตรงเข้ากับสายสื่อสารของเครือข่าย เพื่อเชื่อมโยงการสื่อสารเข้ากับสเตชั่น ซึ่งถือว่า เป็นการสิ้นเปลืองมากกว่าการใช้คอนเนตเตอร์ธรรมดา ๆ
                 6. คอนโทรเลอร์ (Controller) หรืออุปกรณ์ควบคุมเครือข่าย คอนโทรลเลอร์เป็นคอมพิวเตอร์
เครื่องหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการควบคุมเส้นทางการสื่อสารส่ง - รับ ข้อมูล จัดระบบการทำงานของ เครือข่าย รวมทั้งควบคุมการทำงานของสเตชั่นได้ด้วย ในระบบเครือข่าย LAN ส่วนใหญ่คอนโทรเลอร์จะรวม อยู่กับไฟล์เซิร์ฟเวอร์ แต่อาจจะแยกออกมาเป็นคอมพิวเตอร์
                 7. บริดจ์ เป็นอุปกรณ์ IWU (Inter Working Unit) ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารข้อมูลระหว่าง
เครือข่าย LAN 2 เครือข่ายที่มีโปรโตคอลเหมือนกันหรือต่างกัน บริดจ์จะรับแพ็กเกจข้อมูลจากสเตชั่นผู้ส่งใน เครือข่ายต้นทาง ทำการตรวจสอบตำแหน่งปลายทาง จากนั้นก็จะส่งแพ็กเกจข้อมูลทั้งหมดนั้นไปยังผู้รับใน เครือข่ายปลายทาง
                 8. เราเตอร์ เป็นอุปกรณ์ IWU (Inter Working Unit)เช่นเดียวกับบริดจ์แต่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
คือสามารถใช้ในการติดต่อสื่อสารข้อมูลระหว่างเครือข่าย 2 เครือข่ายหรือมากกว่า เราเตอร์นอกจากจะทำหน้า ที่ส่งและรับข้อมูลให้กับเครือข่าย เราเตอร์ยังทำมีความสามารถในการตัดสินใจเลือกเส้นทางการสื่อสารข้อมูล ที่ดีที่สุดให้แก่ข้อมูลได้อีกด้วย เราเตอร์จะทำงานอยู่ในเลเยอร์ชั้น Network ของรูปแบบ OSI
                 9. รีพีตเตอร์ เป็นอุปกรณ์ทบทวนสัญญาณข้อมูลดิจิตอล เพื่อป้องกันการขาดหายไปของสัญญาณ
เมื่อทำการส่งข้อมูลในระยะทางไกล ๆ การใช้รีพีตเตอร์จึงช่วยในการขยายวงรอบการสื่อสารในเครือข่าย LAN ให้กว้างไกลยิ่งขึ้น รีพีตเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในเลเยอร์ชั้น Physical
                 10. เกตเวย์ เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการช่วยเหลือคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง หรือมากกว่าที่อยู่ใน
ต่างเครือข่ายกันซึ่งอาจจะมีลักษณะของเครือข่ายที่เหมือนกันหรือต่างกัน ให้สามารถติดต่อสื่อสารข้อมูลกันได้ เช่น ใช้เกตเวย์เชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างเครื่อข่าย LAN แบบ EtherNet
                 การเลือกสายสื่อสารให้เหมาะสมก็เป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญอย่งมาก หลักการเลือกใช้มีตัวแปรหลาย
อย่างเช่น ราคาของสายสื่อสาร อัตราเร็วในการส่งข้อมูล รูปแบบการเชื่อมโยงของเครือข่าย สถานที่ติดตั้ง ปริมาณงานในเครือข่าย การดูแลรักษาซ่อมบำรุง อายุการใช้งาน ในที่นี้เราจะไม่กล่าวถึงรายละเอียดเพราะได้ กล่าวไว้ในหัวข้อเรื่อง Hardware แล้วแต่จะนำเสนอตารางมาตราฐานของสายสื่อสารแทน
                 ตารางด้านล่างจะเป็นการแสดงถึงคุณภาพของการสายสื่อสารทั้ง 4 ชนิดที่ใช้ในการเชื่อมโยงใน
เครือข่าย LAN รูปแบบต่าง ๆ กัน และด้วยเทคนิคการส่งสัญญาณข้อมูลที่ต่างกัน
 
ตาราง 1 สายสื่อสารสำหรับเครือข่ายท้องถิ่น LAN แบบ BUS/TREE
ชนิดของสายสื่อสาร
อัตราเร็วข้อมูล Mbps
ระยะทาง(กม.)
จำนวนของแทป
สายเกลียวคู่
1-10
< 2 10-100
สายโคแอกเชียวเบสแบนด์
10 และ 50
< 3 100-1000
สายโคแอกเชียวบรอดแบนด์
500(20ต่อ1ช่องทาง)
< 30 1000-10000
ตาราง 2 สายสื่อสารสำหรับเครือข่ายท้องถิ่น LAN แบบ Passive หรือ Active STAR
ชนิดของสายสื่อสาร
อัตราเร็วข้อมูล Mbps
ระยะทางจากสเตชั่นถึง
ศูนย์กลาง (กม.)
จำนวนสเตชั่น
สายเกลียวคู่แบบไม่มีชีลด์ 1-10 0.5(1 Mbps) 0.1(10 Mbsp) 10-100
สายโคแอกเชียวเบสแบนด์ 70 < 1 10-100
สายไฟเบอร์ออปติก 10-20 < 1 10-100
ตาราง 3 สายสื่อสารสำหรับเครือข่ายท้องถิ่น LAN แบบ RING
ชนิดของสายสื่อสาร
อัตราเร็วของข้อมูล(Mbps)
ระยะทางระหว่างรีพีตเตอร์ (กม.)
จำนวนรีพีตเตอร์
สายเกลียวคู่แบบไม่มีชีลด์
4
0.1
72
สายเกลียวคู่แบบมีชีลด์
16
0.3
250
สายโคแอกเชียลเบสแบนด์
16
1.0
250
สายไฟเบอร์ออปติก
100
2.0
240
                 และในตาราง 4 และ 5 ด้านล่างเป็นตัวอย่างของชนิดของสายสื่อสารแบบเกลียวคู่ และแบบโคแอก เชียลที่มีขายในท้องตลาดทั่วไป ที่ใช้การเชื่อมโยงภายในเครือข่าย LAN ที่มีรูปแบบและประเภทของข้อมูล ต่าง ๆ กัน
ตาราง 4 สายเกลียวคู่ในเครือข่ายท้องถิ่น LAN แบบ Token-Ring
ชนิดของสาย
ส่วนประกอบ
การใช้งาน
ราคาต่อ 1000 ฟุต ($)
Type 1
สายเกลียวคู่ขนาด 22 AWG 2 สายหุ้มชีลด์ทั้ง 2 สาย และหุ้มชีลด์ด้านนอกอีกชั้นหนึ่ง
ข้อมูลคุณภาพสูง
0.40
Type 2
เหมือน Type 1 แต่เพิ่มสายเกลียวคู่ แบบไม่มีชีลด์อีก 4 สาย
ข้อมูล/เสียง
0.55
Type 3
สายเกลียวคู่แบบไม่มีชีลด์ขนาด 22 AWG หรือ 24 AWG 4 สาย
ข้อมูลคุณภาพต่ำ
0.25
Type 5
สายไฟเบอร์ออปติก 2 สาย
เชื่อมระหว่าง Token-Ring 2 วง
3.00
Type 6
สายเกลียวคู่ขนาด 26 AWG 4 สาย มีหุ้มชีลด์ด้านนอกอีกชั้น
เชื่อมกับแพทซ์พาเนล
0.30
Type 8
สายแบนเกลียวคู่มีชีลด์ขนาด 26 AWG 4 สาย มีหุ้มชีลด์ด้านนอกอีกชั้น
เดินสายใต้พรม
6.00
Type 9
เหมือน Type 1 แต่เปลี่ยนขนาดของ สายเป็นขนาด 26 AWG
ข้อมูลคุณภาพปานกลาง
0.75
* หมายเหตุ เบอร์ของสายยิ่งมาก ขนาดของสายยิ่งเล็กลง
ตารางที่ 5 ชนิดของสายโคแอกเชียลในเครือข่ายท้องถิ่น LAN แบบต่าง ๆ
ชนิดของเครือข่าย
ชนิดของสายเคเบิล
ค่าความต้านทาน (โอห์ม)
ราคาต่อ 1 ฟุต
Ethernet (Standard)
Type N
50
0.95
Ethernet Transceiver
Multi - Write
50
0.85
EtherNet (Thin)
RG-58
50
0.25
ARCnet
RG-62
93
0.20
Broadband(Drop)
RG-59
75
0.15
Broadband(Trunk/feeder)
RG-11
75
0.25
                 ส่วนสายไฟเบอร์ออปติกนั้นราคาจะอยู่ประมาณ 1.20 ถึง 1.70 ดอลลาร์ต่อฟุต รวมค่าติดตั้ง
ประมาณ 100 ถึง 125 ดอลลาร์ ซึ่งถ้ารวมราคาทั้ง 2 อย่างเข้าด้วยกันแล้ว สำหรับการเชื่อมโยงระหว่างเครือง PC 2 เครื่องในเครือข่ายแบบ EtherNet จะตกราว ๆ 500 ถึง 750 ดอลลาร์

สายสื่อสารมาตรฐาน

สายสื่อสารมาตรฐาน


                   การกำหนดมาตรฐานการใช้เครือข่าย LAN นั้นเกิดขึ้นจากการกำหนดมาตรฐานของเครือข่าย
LAN ตามลักษณะของโปรโตคอล MAC (จะกล่าวในเรื่องโปรโตคอลในเครือข่าย LAN)ที่ใช้ โดยแยกออกเป็น 3 มาตรฐาน ได้แก่

มาตราฐาน 10BASE
                    เป็นมาตรฐานซึ่งกำหนดขึ้นโดยองค์กร IEEE ใช้เป็นสายสื่อสารมาตรฐานในการสื่อสารข้อมูล
ด้วยโปรโตคอล CSMA/CD (หรือ IEEE 802.3) ซึ่งยังแบ่งออกเป็น
                    1. สาย 10BASE5 หรือสาย Original 802.3 Standard เป็นสายโคแอกเชียลมาตรฐาน
ของเครือข่าย LAN ที่มีแบบการส่งสัญญาณข้อมูลแบบเบสแบนด์ สามารถส่งข้อมูลได้ด้วยอัตราเร็ว 10 Mbps ความยาวสูงสุดของสายสื่อสารใน 1 ช่วง (Segment) จากปลายสุดด้านหนึ่งของสายถึงปลายสุดอีกด้านหนึ่งของ สายเท่ากับ 500 เมตร โดยสามารถมีแทป (Tap) ต่อเข้าระหว่างสาย 1 ช่วงได้สูงสุดเท่ากับ 100 แทป ระยะ ทางของการสื่อสารจะสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกถ้ารีพีตเตอร์ โดยจำกัดไว้ว่าสามารถใช้รีพีตเตอร์ได้มากที่สุด 4 เครื่องต่อ 1 เส้นทางระหว่าง 2 สเตชั่น ซึ่งทำให้สามารถเพิ่มระยะทางการสื่อสารของเครือข่าย LAN ไปได้ ไกลถึง 2.5 กม.
                   2. สาย 10BASE2 หรือสาย Cheapernet เป็นสายโคแอกเชียลที่มีขนาดเล็กกว่าสาย
10 BASE5 แต่มีอัตราส่งข้อมูลเท่ากัน ทำให้ราคาของสาย 10 BASE2 ถูกกว่า แต่การที่ขนาด ของสายเล็ก ลงก็ทำให้ระยะทางการเชื่อมต่อสเตชั่นเข้ากับสายเคเบิลสั้นลงด้วย คือสามารถมีแทปใน 1 ช่วงสายได้สูงสุด 30 แทปและมีระยะทางการสื่อสารได้ไกลสุดเท่ากับ 185 เมตร
                   3. สาย 1BASE5 หรือสาย STARLAN เป็นสายเกลียวคู่แบบไม่มีชีลด์ มีอัตราเร็วในการ
ส่งข้อมูลเท่ากับ 1 Mbps ในเครือข่าย LAN แบบ Passive STAR สาย 1BASE5 มีราคาถูกกว่าสายโคแอกเชียล เหมาะสมกับงานที่ไม่ต้องการอัตราเร็วในการส่งข้อมูลสูงมากนัก
                   4. สาย 10BASE-T เป็นสายเกลียวคู่แบบไม่มีชีลด์ซึ่งใช้กับเครือข่าย LAN แบบ
Passive STAR เช่นกัน แต่มีอัตราเร็วในการส่งข้อมูลสูงถึง 10 เมกะบิตต่อวินาที
                   5. สาย 10BASE36 หรือสาย Broadband เป็นสายโคแอกเชียลแบบบรอดแบนด์ซึ่ง
สามารถมีสเตชันได้มากกว่า และสื่อสารได้ไกลกว่าสายโคแอกเชียลแบบเบสแบนด์
                   ในตาราง 6 เป็นการสรุปสายมาตรฐาน 10BASE ที่ใช้ในเครือข่าย LAN มาตรฐาน
IEEE802.3 (CSMA/CD)

ตารางที่ 6 สายมาตรฐาน10BASE ใน LAN มาตรฐาน IEEE 802.3(CSMA/CD)
สาย10BASE ชนิดของสายสื่อสาร เทคนิคการส่งสัญญาณ
อัตราเร็วข้อมูล
Mbps
ระยะทางสูงสุดใน 1 ช่วง
สาย(เมตร)
  10BASE5
 สายโคแอกเชียล
 (50 โอห์ม)
 เบสแบนด์
 (แมนเชสเตอร์)
10
500
  10BASE2
 สายโคแอกเชียล
 (50 โอห์ม)
 เบสแบนด์
 (แมนเชสเตอร์)
10
185
  10BASE5  สายเกลียวคู่แบบ
 ไม่มีชีลด์
 เบสแบนด์
 (แมนเชสเตอร์)
1
250
  10BASE-T  สายเกลียวคู่แบบ
 ไม่มีชีลด์
 เบสแบนด์
 (แมนเชสเตอร์)
10
100
 10BASE36  สายโคแอกเชียล
 (50 โอห์ม)
 บรอดแบนด์
 (DPSK)
10
3600
  มาตราฐาน IEEE 802.4
                   IEEE 802.4 เป็นมาตรฐานของโปรโตคอลแบบ Token Bus โดยมีสายสื่อสารที่ใช้เป็น
มาตรฐานอยู่ 3 แบบคือ
                   1.สาย Broadband เป็นสายโคแอกเชียล สำหรับการส่งสัญญาณแบบบรอดแบนด์
สามารถส่งข้อมูลได้ด้วยอัตราเร็วต่างกันคือ 1, 5 และ 10 เมกะบิตต่อวินาที สำหรับช่องทางซึ่งมีแบนด์วิดท์เท่ากับ 1.5,6 และ 12 MHz ตามลำดับ ในสายสื่อสารเดียว
                   2.สาย Carrierband หรือสายบรอดแบนด์ช่องทางเดียว เพราะมีเพียง 1 ช่องสัญญาณต่อ
1 สายทำให้ราคาของสายถูกลง แต่อย่างไรก็ตามสาย Carrierband ก็มีสาย 3 แบบให้เลือกตามอัตราเร็ว ใน การส่งข้อมูลคือ 1,5 และ 10 Mbps
                   3.สายไฟเบอร์ออปติก สามารถส่งข้อมูลได้ด้วยอัตราเร็วเท่ากับ 5, 10 และ 20 Mbps
สามารถใช้ได้ทั้งเครือข่าย LAN แบบ Passive และ Active STAR
ตาราง 7 สายสื่อสารมาตรฐานใน LAN มาตราฐาน IEEE 802.4 (Token Bus)
ชนิดของสายสื่อสาร
เทคนิคการส่งสัญญาณ
อัตราเร็วของข้อมูล
Mbsp
ระยะทางสูงสุด
ใน 1 ช่วงสาย (เมตร)
สาย Broadband
สายโคแอกเชียล
(75 โอห์ม)
บรอดแบนด์
(AM หรือ PSK)
1,5,10
ไม่ได้ระบุ
สาย Carrierband
สายโคแอกเชียล
(75 โอห์ม)
บรอดแบนด์
(FSK)
1,5,10
7,600
สายไฟเบอร์ออปติก สายไฟเบอร์ออปติก
ASK
(แมนเชสเตอร์)
5,10,20
ไม่ได้ระบุ
มาตราฐาน IEEE 802.5
                   เป็นมาตรฐานโปรโตคอลแบบ Token Passing ของเครือข่าย LAN แบบ Token-Ring
สายสื่อสารมาตรฐาน IEEE 802.5 คือสายเกลียวคู่แบบมีชีลด์ซึ่งมี 2 อัตราเร็วของการส่งข้อมูลคือ 1 และ 4 Mbps สำหรับเครือข่าย LAN แบบ Token-Ring และยังมีอีกหนึ่งมาตราฐานที่ใช้ร่วมกันคือมาตรฐานของ IBM ซึ่งมีสายสื่อสารให้เลือก 2 แบบ คือ สายเกลียวคู่แบบไม่มีชีลด์ อัตราเร็ว 1 และ 4 Mbps และสายเกลียวคู่ แบบมีชีลด์ อัตราเร็ว 16 Mbps
ตาราง 8 สายสื่อสารมาตราฐาน IEEE 802.5 (Token Passing)
ชนิดของสาย
สื่อสาร
เทคนิคการส่ง
สัญญาณ
อัตราเร็วข้อมูล
(Mbps)
จำนวนรีพิตเตอร์
สูงสุด
ระยะทางสูงสุด
ระหว่างรีพิตเตอร์
IEEE 802.5 สายเกลียวคู่มีชีลด์ แมนเชสเตอร์แบบ
Differential
1,4
250
ไม่ระบุ
IBM สายเกลียวคู่มีชีลด์ แมนเชสเตอร์แบบ
Differential
16
250
ไม่ระบุ
IBM สายเกลียวคู่ไม่มี
ชีลด์
แมนเชสเตอร์แบบ
Differential
1,4
72
ไม่ระบุ
มาตราฐาน FDDI
                   เป็นสายมาตรฐานสำหรับโปรโตคอลแบบ FDDI (Fiber Distributed Data Interface)
ซึ่งเป็นโปรโตคอลสำหรับเครือข่าย LAN แบบ Token-Ring เช่นกัน โดยมีอัตราเร็วในการส่งข้อมูลถึง  100 Mbps
ตาราง 9 สายมาตรฐาน FDDI
ชนิดของสายสื่อสาร
เทคนิคการส่ง
สัญญาณ
อัตราเร็วข้อมูล
Mbps
จำนวนรีพิตเตอร์
สูงสุด
ระยะทางสูงสุด
รหว่างรีพิตเตอร์
FDDI
สายไฟเบอร์ออปติก
ASK-NRZ1
100
1,000
2000 ม.

LAN Software

LAN Software


                 เช่นเดียวกับเครื่องPC ที่มีโปรแกรมWindows , Linux , OS/2 เป็นระบบปฏิบัติการของ
เครื่องในเครือข่าย LAN ก็ต้องการโปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นระบบปฏิบัติการให้กับเครือข่าย หรือเรียกว่า NOS (Network Operation System) เพื่อทำหน้าที่จัดการไฟล์ข้อมูล ติดต่อกับผู้ใช้ในเครือข่าย และรวมถึงการ บริการแชร์ทรัพยากร สามาถรันแอปพลิเคชันที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งด้วยคอมพิวเตอร์ อีกเครื่องหนึ่งซึ่ง มีลักษณะและระบบปฏิบัติการต่างกันได้ ดังนั้น LAN ซอฟต์แวร์ที่จะใช้จึงต้องมีความแน่นอนเชื่อถือได้
                 สำหรับซอฟต์แวร์ในเครือข่าย LAN ได้แก่
                 1. ระบบปฏิบัติการในเครื่อง PC เช่น Microsoft Windows 98,Windows NT for workgroup
, Windows2000 , Mac OS ,Linux,OS/2
                 2.ระบบปฏิบัติการเครือข่าย (NOS) เช่น Novell Netware,Microsoft Windows NT,
Windows2000 Advanced Server , Linux,IBM's OS/2 LAN Server เป็นต้น
                 3.ซอฟต์แวร์สำหรับการรันแอปพลิเคชันระหว่างคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องหรือมากกว่าในเครือข่าย
เดียวกันหรือต่างเครือข่ายกัน เช่น IBM's Network Basic input/output System (NETBIOS) , Xerox Network Service (XNS), TCP/IP หรือ Advanced Program-to-Program Communication(APPC)
                 หน้าที่หลัก ๆ ที่ LAN ซอฟต์แวร์ทั่วไปสามารถทำได้และควรจะมี ได้แก่
-การควบคุมเครือข่าย
1. การกำหนดเส้นทางของข่าวสารระหว่างอุปกรณ์ที่มีอยู่ในเครือข่าย
2. การตรวจสอบความผิดพลาด รวมทั้งแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อพบความผิดพลาดในข้อมูล
3. การส่ง-รับข้อมูลแก่ผู้ใช้
4. บันทึกการเรียกใช้ข้อมูลไฟล์ข้อมูล การเข้าสู่เครือข่ายหรือ "การล็อคอิน" (LOGIN) ของผู้ใช้
5. สามารถเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่ายให้ทำงานร่วมกันได้
-การเก็บรักษาไฟล์ข้อมูล
1. การเก็บรักษาและพร้อมที่จะให้คืน(Store and Retrive) ไฟล์ข้อมูลและ E-Mail สำหรับผู้ใช้
2. การเก็บประวัติประจำตัว (ID) รวมทั้งรหัสผ่าน (Passward) ของผู้ใช้ทั้งหมดในเครือข่าย
และจัดไดเรกทอรีของไฟล์ข้อมูล
3. การจัดระบบฐานข้อมูลในการบันทึกและการเข้าสู่ไฟล์ข้อมูล
4. ช่วยสำรอง(Backup)และกู้คืน (Recovery) ไฟล์ข้อมูลเพื่อกันการสูญหาย
5. มีซอฟต์แวร์สำหรับส่ง E-Mail
-การติดต่อสื่อสารภายนอกเครือข่าย
1. สามารถรับรู้เข้าใจโปรโตคอลของเครือข่าย หรือคอมพิวเตอร์นอกเครือข่ายซึ่งมีโปรโตคอล
ต่างไปจากโปรโตคอลที่ใช้อยู่ภายในเครือข่าย
2. มีมัลติเพล็กเซอร์และคอลโทรลเลอร์สำหรับติดต่อส่ง-รับข้อมูล ตรวจสอบและแก้ไขความ
ผิดพลาด และ การล็อคอินของเครือข่ายกับภายนอกได้คราวละมาก ๆ และมีประสิทธิภาพ
ในความเหมือนกันของซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับระบบ LAN ยังแบ่งแยกความแตกต่างของ
ซอฟต์แวร์ของแต่ละบริษัทผู้ผลิตและเวอร์ชันที่ต่างกันได้อีก เช่น ความสามารถที่ต่างกันในการรับรู้เข้าใจรวม ทั้งสามารถ แปลงชนิดของโปรโตคอลที่มีรูปแบบต่างไปจากโปรโตคอลในเครือข่าย ระดับความเชื่อถือได้ของ การรักษา ความปลอดภัยของข้อมูลที่ต่างกัน ในตารางที่ 10 เป็นการแสดงซอฟต์แวร์ชนิดต่าง ๆ ที่มีใช้อยู่ใน ระบบเครือข่าย LAN ตามลำดับชั้นของเลเยอร์ของรูปแบบ OSI
ตารางที่ 10 ตัวอย่างซอฟแวร์และLAN ซอฟต์แวร์ในรูปแบบ OSI
7 Application  แอปพลิเคชันของผู้เใช้เช่น FoxPro,Oracle,OS/2 Warp, E-mail ฯลฯ
แอปพลิเคชันระบบเครือข่าย (NOS) เช่น Novell Netware,Microsoft Windows NT,
IBM's OS/2 LAN Utility เช่น File Transfer ,Terminal Emulation
6 Presentation  ระบบปฏิบัติการของโฮสต์ หรือ PC เช่น UNIX,LINUX,Microsoft Windows NT,  OS/2 ระบบปฏิบัติการเครือข่าย
5 Session  ระบบการสื่อสารในเครือข่ายและระหว่างเครือข่าย เช่น NETBIOS
 Novell IPX
 ISO
 TCP/IP
 XNS
 IBM Virtual Device Driver
4 Transport
3 Network
2 Data Link
1 Physical  ระบบการเข้าสู่เครือข่าย LAN และระบบสัญญาณ เช่น EtherNet,Token-Ring

รูปแบบของการเชื่อมโยงเครือข่าย หรือ โทโปโลยี (LAN Topology)

รูปแบบของการเชื่อมโยงเครือข่าย หรือ โทโปโลยี
(LAN Topology)


                  โทโปโลยีคือลักษณะทางกายภาพ (ภายนอก) ของเครือข่าย ซึ่งก็หมายถึงลักษณะของการเชื่อมโยง สายสื่อสารเข้ากับอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกต่าง ๆ ภายในเครือข่ายเข้าด้วยกันนั่นเอง โทโปโลยีของเครือข่าย LAN แต่ละแบบมีความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกัน จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องทำการศึกษาลักษณะคุณ สมบัติ ข้อดีและข้อเสียของโทโปโลยีแต่ละแบบ เพื่อนำไปใช้ในการออกแบบพิจารณาเครือข่ายให้เหมาะสมกับ การใช้งาน รูปแบบของโทโปโลยีของเครือข่ายหลัก ๆ มีดังต่อไปนี้
                  .โทโปโลยีแบบ BUS หรือ TREE
รูป
                   ในระบบเครือข่าย LAN โทโปโลยีแบบ BUS หรือ TREE นับว่าเป็นโทโปโลยีที่ได้รับความนิยม ใช้กันมากในอดีต โดยในปัจจุบันจะมีโทโปโลยีแบบ STAR มาแทนที่ ลักษณะการทำงานของเครือข่าย โทโปโลยีแบบ BUS คืออุปกรณ์ทุก ชิ้นในโหมดในเครือข่ายจะเชื่อมต่อกับ สายสื่อสารหลัก ที่เรียกว่า "บัส" (BUS)
                  เมื่อโหนดหนึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปยังอีกโหนดหนึ่งภายในเครือข่าย ข้อมูลจากโหนดผู้ส่งจะถูกส่ง เข้าสู่สายบัสในรูปแบบของแพ็กเกจ ซึ่งแต่ละแพ็กเกจจะประกอบด้วยตำแหน่งของผู้ส่งและผู้รับ และข้อมูล การ สื่อสารภายในบัสจะเป้นแบบ 2 ทิศทางแยกไปยังปลายทั้ง 2 ด้านของบัส โดยตรงปลายทั้ง 2 ด้านของบัสจะมี เทอร์มิเนเตอร์(Terminator) ทำหน้าที่ดูดกลืนสัญญาณ เพื่อป้องกันไม่ให้สัญญาณข้อมูลนั้นสะท้อนกลับเข้ามา ยังบัสอีก เป็นการป้องกันการชนของสัญญาณข้อมูลอื่นที่เดินทางอยู่ใน BUS สัญญาณข้อมูลจากโหนดผู้ส่งเมื่อ เข้าสู่บัสจะไหลผ่านยังปลายทั้ง 2 ข้างของบัส แต่ละโหนดที่เชื่อมต่อเข้ากับบัสจะคอยตรวจดูว่าตำแหน่งปลาย ทางที่มากับแพ็กเกจข้อมูลนั้นตรงกับตำแหน่งของตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะรับข้อมูลนั้นเข้ามาสู่โหนดตน แต่ถ้าไม่ ใช่ก็จะปล่อยให้สัญญาณข้อมูลั้นผ่านไป จะเห็นได้ว่าทุก ๆ โหนดภายในเครือข่ายแบบ BUS นั้นสามารถรับรู้ สัญญาณข้อมูลได้ แต่จะมีเพียงโหนดปลายทางเพียงโหนดเดียวเท่านั้นที่จะรับข้อมูลนั้นไปได้
                  การควบคุมการสื่อสารภายในเครือข่ายแบบ BUS มี 2 แบบคือแบบ
                  1.ควบคุมด้วยศูนย์กลาง (Centralized)ซึ่งจะมีโหนดหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการ สื่อสารภายในเครือข่ายซึ่งส่วนใหญ่จะ เป็นไฟล์เซิร์ฟเวอร์
                  2.ควบคุมแบบกระจาย (Distributed) ทุก ๆ โหนดภายในเครือข่ายจะมีสิทธิ ในการควบคุมการ สื่อสารแทนที่จะเป็นศูนย์กลางควบคุมเพียงโหนดเดียว ซึ่งโดยทั่วไปคู่โหนดที่กำลังทำการ สื่อสารส่ง-รับข้อมูล กันอยู่จะเป็นผู้ควบคุมการสื่อสารในเวลานั้น
                  ข้อเสียอย่างหนึ่งของเครือข่ายแบบ BUS คือการไหลของข้อมูลที่เป็น 2 ทิศทางทำให้ระบุจุดที่ เกิดความเสียหายในบัสยาก และโหนดที่ถัดต่อไปจากจุดที่เกิดความเสียหายจนถึงปลายของบัสจะไม่สามารถทำ การสื่อสารข้อมูลได้ แต่โหนดที่อยู่ก่อนหน้าจุดเสียหายจะยังคงสื่อสารข้อมูลได้
                   สำหรับเครือข่ายแบบ TREE นั้นจะมีลักษณะเช่นเดียวกับเครือข่ายแบบ BUS เพียงแต่ละโหนด ที่ต่อเข้ากับบัสสามารถมีโหนดย่อยต่อกิ่งก้านสาขาออกไปได้อีก โดยการสื่อสารของโหนดย่อยจะต้องสื่อสารผ่าน โหนดหลักก่อนเข้าสู่บัส
                  ตัวอย่างของเครือข่าย LAN ที่ใช้โทโปโลยีแบบ BUS ในการเชื่อมโยงการสื่อสารก็ได้แก่ Ethernet LAN เป็นต้น
                  .โทโปโลยีแบบ RING
รูป
                  เหตุที่เรียกการส่อสารแบบนี้ว่าเป็นแบบ Ring เพราะข่าวสารที่ส่งผ่านไปในเครือข่ายจะไหลวนอยู่ ในเครือข่ายไปในทิศทางเดียวเหมือนวงแหวน หรือ RING นั่นเอง โดยไม่มีจุดปลาย หรือ เทอร์มิเนเตอร์แบบ BUS ในแต่ละโหนดจะมีรีพีตเตอร์ประจำโหนด 1 เครื่อง ซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข่าวสารที่จำเป็นต่อการสื่อสาร ในส่วนหัวของแพ็กเกจ ข้อมูลสำหรับการส่งข้อมูลออกจากโหนด และมีหน้าที่รับแพ็กเกจข้อมูลที่ไหลผ่านมา จากสายสื่อสารเพื่อตรวจสอบว่าเป็นข้อมูลที่ส่งมาให้โหนดตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะคัดลอกข้อมูลทั้งหมดนั้นส่งต่อไป ให้กับโหนดของตน แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยังรีพีตเตอร์ของโหนดถัดไป
                  ข้อดีของเครือข่ายแบบ Ring คือผู้ส่งสามารถรับส่งข้อมูลไปยังผู้รับได้หลาย ๆ โหนดพร้อมกัน โดย กำหนดตำแหน่งปลายทางเหล่านั้นลงในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล รีพีตเตอร์ของแต่ละโหนดจะทำการตรวจ สอบเองว่ามีข้อมูลส่งมาให้ที่โหนดตนเองหรือไม่ การส่งผ่านข้อมูลใน เครือข่ายแบบ Ring จะเป็นไปในทิศทาง เดียวจากโหนดสู่โหนด จึงไม่มีการชนกันของสัญญาณข้อมูล
                  ส่วนข้อเสียคือถ้ามีโหนดใดโหนดหนึ่งในเครือข่ายเสียหาย ข้อมูลจะไม่สามารถส่งผ่านไปยังโหนด ต่อไปได้ และจะทำให้เครือข่ายทั้งเครือข่ายขาดการติดต่อสื่อสารได้ ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งคือขณะที่ข้อมูลถูกส่ง ผ่านแต่ละโหนด เวลาส่วนหนึ่งจะสูญเสียไปกับทุก ๆ รีพีตเตอร์จะต้องทำการคัดลอกข้อมูล และตรวจสอบ ตำแหน่งปลายทางของข้อมุล อีกทั้งการติดตั้งเครือข่ายแบบ Ring ก็ทำได้ยากกว่าแบบ BUS และใช้สาย สื่อสารมากกว่า ตัวอย่างของเครือข่าย LAN ที่ใช้โทโปโลยีแบบ Ring ได้แก่ Token-Ring LAN เป็นต้น
                  .โทโปโลยีแบบ STAR
                  
                  จากเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารที่มีลักษณะคล้ายกับรูปดาว (STAR) หลายแฉกดังรูป โดยมีศูนย์ กลางของดาว หรือฮับเป็นจุดผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย ศูนย์กลางจึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ ควบคุมเส้นทางการสื่อสารทั้งหมดทั้งภายใน และภายนอกเครือข่าย นอกจากนี้ศูนย์กลางยังทำหน้าที่เป็น ศูนย์- ์กลางข้อมูลอีกด้วยโดยเจ้าเชื่อมต่อเข้ากับไฟล์เซิร์ฟเวอร์อีกที
                  การสื่อสารภายในเครือข่ายแบบ STAR จะเป็นแบบ 2 ทิศทางโดยอนุญาตให้มีเพียงโหนดเดียว เท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน เพื่อป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูล(แต่ใน อุปกรณ์รุ่นใหม่สามารถทำการสลับการทำงานและยอมให้ทำงานได้พร้อมกันคือ Switch HUB) โทโปโลยีแบบ STAR เป็นที่นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบันเพราะติดตั้งง่ายและดูแลรักษาง่าย หากมีโหนดใดเกิดความเสีย หายก็ตรวจสอบได้ง่าย และศูนย์กลางสามารถตัดโหนดนั้นออกจากการสื่อสารในเครือข่ายได้
                  ข้อเสียของเครือข่ายแบบ STAR คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางมีราคาแพงและ ถ้าศูนย์กลางถูกปิดหรือHUB ถูกปิดก็จะทำให้เครือข่ายทำงานไม่ได้เลย
                  .โทโปโลยีแบบ STAR wire Ring
                  
                  โทโปโลยีแบบ STAR wire Ring เป็นการนำเอาข้อดีของโทโปโลยีแบบ STAR และแบบ Ring มารวมกันเพื่อแก้ไขข้อเสียของทั้ง 2 แบบด้วย เครือข่ายแบบ STAR wire Ring
                  โดยอาศัยรูปแบบการเชื่อมโยงแบบ Ring ทำให้สายสื่อสารสามารถเชื่อมโยงเข้ากับทุก ๆ โหนด ของเครือข่ายและเป็นการประหยัดสายสื่อสารด้วย การเชื่อมโยงของแต่ละคู่โหนดการสื่อสารจะถูกโยงเข้าสู่ศูนย์ กลางของเครือข่ายซึ่งทำหน้าที่เช่นเดียวกับศูนย์กลางของเครือข่ายแบบ STAR ทำให้การสื่อสารทั้งหมดทั้ง ภายในและภายนอกเครือข่ายอยู่ในการควบคุมของศูนย์กลางเครือข่าย
       ข้อดีของเครือข่ายแบบ STAR wire Ring มีด้วยกันหลายข้อคือ
                  1. สามารถติดต่อสื่อสารได้ 2 ทิศทางแทนที่จะเป็นทิศทางเดียวตามแบบ Ring
                  2. ประหยัดสื่อสารเพราะใช้ลักษณะการเชื่อมโยงแบบ Ring
                  3. มีศูนย์กลางเครือข่ายเป็นตัวควบคุมการติดต่อสื่อสารข้อมูลทั้งภายในและภายนอกเครือข่าย และสามารถเลือกติดต่อได้ครั้งละหลาย ๆ โหนด ซึ่งเรียกลักษณะการทำงานเช่นนี้ว่า Multi-station Access Unit หรือ MAU ซึ่งเครือข่ายแบบ STAR อย่างเดียวไม่สามารถทำได้
                  4. สามารถเลือกปิดสวิตซ์ หรือเส้นทางเข้าสู่โหนดใดโหนดหนึ่งได้ ทำให้ประหยัดเวลาที่จะต้องสูญ เสียไปกับการทำงานของรีพีตเตอร์ของโหนดนั้น ๆ ทำให้การสื่อสารข้อมูลเร็วขึ้นกว่าสายสื่อสารในเครือข่าย แบบ Ring อย่างเดียว
                   5. ในกรณีที่โหนดใดโหนดหนึ่งเกิดความเสียหาย สวิตซ์เปิด/ปิดของโหนดนั้น ๆ จะทำการตัดวงจร ของโหนดนั้นออกจากเครือข่าย และจะเชื่อมโยงสายสื่อสารข้ามไปยังโหนดต่อไปในลักษณะที่เรียกว่า การ Bypass ทำให้สายสื่อสารของวงแหวนไม่ขาดออกจากกัน

LAN โปรโตคอล

LAN โปรโตคอล


                  จากเรื่องสถาปัตยกรรมเครือข่าย ซึ่งได้กล่าวถึงชั้นหรือเลเยอร์ในระดับต่าง ๆ กัน 7 เลเยอร์ตาม มาตราฐาน ISO รูปแบบ OSI มาแล้ว และยังได้กล่าวถึงหน้าที่การทำงานของโปรโตคอลของแต่ละเลเยอร์ว่า มีหน้าที่การทำงานกันอย่างไร ซึ่งสำหรับโปรโตคอลที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลในเครือข่ายท้องถิ่นจะเป็น โปรโตคอลที่ทำงานอยู่ในเลเยอร์ตั้งแต่ชั้นที่ 5 ลงมาจนถึงเลเยอร์ชั้นล่างสุด ในรูปด้านล่างเป็นการแสดงส่วน การทำงานของโปรโตคอลในเครือข่ายท้องถิ่นเมื่อเทียบกับรูปแบบ OSI

7. Application   ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ โปรแกรมเซิร์ฟเวอร์
  Windows NT , Windows 98 , Shell
6. Presentation
5. Session   NETBIOS (NETwork Basic Input/Output System)
4. Transport
3. Network
2. Data Link   Medium Access Control (MAC)
  Logical Link Control (LLC)
1. Physical   ฮาร์ดแวร์ , สายสื่อสาร
                   รูปเปรียบเทียบการใช้โปรโตคอลในเครือข่ายท้องถิ่นกับรูปแบบ OSI
                   ในรูปด้านบนจะเห็นว่าโปรโตคอลสำหรับเครือข่าย LAN จะทำงานอยู่ในเลเยอร์ชั้น Data Link และชั้น Physical โดยในเลเยอร์ชั้น Data Link ยังแบ่งชั้นการทำงานออกเป็นเลเยอร์ย่อยได้อีก 2 เลเยอร์คือ เลเยอร์ LLC (Logical Link Control) และเลเยอร์ MAC (Medium Access Control)
                   หน้าที่ของ LAN โปรโตคอล
                   - โปรโตคอลในเลเยอร์ชั้น Physical จะทำหน้าที่เข้ารหัส หรือถอดรหัส (Encode หรือ Decode) ของสัญญาณข้อมูล หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมีหน้าที่มอดูเลตและดีมอดูเลตสัญญาณข้อมูลนั่นเองนอก จากนี้ยังทำหน้าที่ซิงโครนัสสัญญาณ และเป็นจุดรับ-ส่งสัญญาณข้อมูลเข้า หรือออกจากสเตชั่น อุปกรณ์สำคัญที่ ใช้ในเลเยอร์ชั้น Physical ได้แก่ โมเด็มและคอนเวอร์เตอร์
                   - โปรโตคอลในเลเยอร์ชั้น LLC มีหน้าที่จัดหาเส้นทาง หรือเป็นจุดติดต่อการบริการ (Service Access Point,SAP) 1 จุด หรือ มากกว่าสำหรับการสื่อสารในเครือข่าย รวมทั้งทำหน้าที่รวม หรือกระจาย เส้นทางการติดต่อ (มัลติเพล็กซ์และดีมัลติเพล็กซ์) ตรวจสอบความผิดพลาดของข้อมูล อุปกรณ์สำคัญที่ใช้ใน เลเยอร์นี้ ได้แก่ มัลติเพล็กซ์เซอร์ หรือ คอนเซนเตรเตอร์
                   - โปรโตคอลในเลเยอร์ชั้น MAC มีหน้าที่จัดระบบการติดต่อสื่อสารกับเลเยอร์ชั้น Network รวมทั้งจัดการการเข้าถึงต้นทางและปลายทางต่าง ๆ (Multiple Source/Destination Access) ซึ่ง โปรโตคอลในเลเยอร์ชั้นที่ 2 ของรูปแบบ OSI จะไม่มีหน้าที่นี้
                   สำหรับโปรโตคอลในเครือข่าย LAN แล้วเราให้ความสำคัญกับโปรโตคอลในเลเยอร์ชั้น MAC มากที่สุด ดังนั้นเนื้อหาในส่วนนี้จะเน้นที่โปรโตคอลในเลเยอร์ชั้น MAC เป็นสำคัญ
                   ชนิดของ LAN โปรโตคอล
                   โปรโตคอลสำหรับ LAN คือวิธีการในการควบคุมกำหนดการส่ง-รับ หรือแลกเปลี่ยนข่าวสาร ระหว่างผู้ส่งและผู้รับในเครือข่าย บางครั้งเราเรียกว่า "แอสเซสโปรโตคอล" (Access Protocol) แอสเซส โปรโตคอลที่นิยมใช้ในเครือข่าย LAN ได้แก่
                   โปรโตคอลแบบแบ่งช่องตามเวลา (Time-Division Slot)
รูป
                 รูปแสดง โปรโตคอลแบบแบ่งช่องตามเวลา
                  สำหรับโปรโตคอลแบบนี้จะใช้วิธีแบ่งวงแหวนของการสื่อสารออกเป็นช่อง หรือ Slot ขนาดคงที่ ในแต่ละสล็อตจะมีส่วนหัวของข่าวสาร ซึ่งจะบ่วบอกว่าสล็อตนั้นมีข้อมูลเต็ม(Full , F) หรือว่าไม่มีข้อมูล (Empty,E) เมื่อวงแหวนหรือสล็อตหมุนผ่านไปยังโหนดที่ต้องการส่งข้อมูลเข้าสู่ในเครือข่าย ถ้าสล็อตนั้นว่าง (E) โหนดก็จะส่งข้อมูลเข้าไปเก็บในสล็อตนั้น สล็อตนั้นก็จะแสดงตัวเองว่าไม่ว่าง (F) และเมื่อสล็อตที่บรรจุข้อ มูลนั้นหมุนวนต่อไปจนถึงโหนดปลายทางตามที่กำหนดตำแหน่งมาในสล็อต โหนดปลายทางก็จะคัดลอกข้อมูล นั้นเข้ามาเก็บ สล็อตนั้นก็จะกลับไปมีสถานะว่างอีกครั้งด้เวยวิธีการเช่นนี้จะทำให้โหนดต่าง ๆ ในเครือข่าย สามารถส่งข้อมูลได้พร้อมกันมากกว่า 1 โหนดโดยไม่มีการชนกันของสัญญาณข้อมูล
                   โปรโตคอลแบบแบ่งช่องตามเวลาที่นิยมใช้กันในปัจจุบันมีชื่อเรียกว่า Slotted ALOHA
                  
                   โปรโตคอลแบบหยั่งเลือกผู้ส่ง (Polling Access Protocol)
                   โปรโตคอลแบบนี้มักจะใช้กับเครือข่าย LAN แบบ STAR ซึ่งมีศูนย์กลางควบคุมการสื่อสารข้อมูล ภายในเครือข่าย ศูนย์กลางจะทำการหยั่งเสียง (Polling) ถามไปยังโหนดต่าง ๆ ของเครือข่ายตามลำดับ ถ้า โหนดใดตอบรับว่าต้องการจะส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่าย ศูนย์กลางก็จะทำการเลือก (Select) ให้โหนดนั้นมีสิทธิ ในการส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่าย ทำให้โหนดอื่น ๆ ไม่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายเพื่อเป็นการป้องกันการชน กันของขอ้มูล โปรโตคอลแบบหยั่งเลือกผู้ส่งนี้สิ้นเปลืองเวลามาก เพราะต้องเสียเวลาไปกับการหยั่งเสียงถาม โหนดที่ไม่ต้องการจะส่งข้อมูลด้วย

                   โปรโตคอลแบบสลับวงจร (Circuit-Switching Protocol)
                   โปรโตคอลแบบนี้ต้องการศูนย์กลางควบคุมการสื่อสารเช่นเดียวกับโปรโตคอลแบบหยั่งเลือกผู้ส่ง สิ่งที่ต่างกันก็คือแต่ละโหนดสามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ตามใจชอบ โดยศูนย์กลางจะทำหน้าที่จัดเส้นทาง ข้อมูลของโหนดผู้ส่งไปยังโหนดผู้รับให้ โดยอาศัยหลักการเดียวกับการสลับสายโทรศัพท์ในเครือข่ายโทรศัพท์ ซึ่งถ้าโหนดผู้รับกำลังติดต่อข้อมูลอยู่กับโหนดอื่น หรือไม่พร้อมจะรับข้อมูล ศูนย์กลางก็จะส่งสัญญาณแจ้งกลับ ไปยังโหนดที่ต้องการจะส่งข้อมูลว่าโหนดผู้รับ "ไม่ว่าง" จะรับข้อมูลและระงับการส่งข้อมูลของโหนดผู้ส่ง แต่ ถ้าโหนดผู้รับพร้อมจะรับข้อมูล ศูนย์กลางก็จะทำการเชื่อมโยงเส้นทางการสื่อสารให้แก่ผู้ส่งและผู้รับ
รูป
                   รูปแสดง การทำงานของโปรโตคอลแบบสลับวงจร

                   โปรโตคอลแบบใช้โทเคน (Token Passing Protocol)
รูป
                   รูปแสดง ขั้นตอนการทำงานของโปรโตคอลแบบใช้โทเคน

                   โทเคนหรือเฟรมควบคุมเป็นกลุ่มของบิตที่วิ่งวนไปตามโหนด หรือ สเตชั่นต่าง ๆ รอบเครือข่าย แต่ละโหนดจะคอยตรวจสอบดูสถานะของโทเคนเองว่าโทเคนที่ผ่านมาถึงโหนดของตนนั้นมีข่าวสารมาถึงตน บ้างหรือไม่ หรือตรวจสอบดูว่าโทเคนนั้นว่างให้ตนสามารถส่งข้อมูลฝากไปกับโทเคนไปยังโหนดอื่นในเครือข่าย ได้หรือไม่
                   ตัวอย่างการทำงานของโปรโตคอลแบบใช้โทเคน เช่น ถ้าโหนด A (ดูรูปที่ ) ต้องการจะส่งข้อมูลไป ให้กับโหนด C โหนด A ก็จะรอจับโทเคนว่างที่วิ่งผ่านโหนดตน จากนั้นจะเติมข้อมูลลงไปในโทเคน โดยกำหนด ตำแหน่งปลายทางว่าอยู่ที่โหนด C จากนั้นก็จะปล่อยโทเคนให้วิ่งวนต่อไปโหนด B (ดูรูป 2) เมื่อโหนด B จับ โทเคนนั้นไว้ก็จะตรวจสอบพบว่าโทเคนต่อไปให้กับโหนด C เมื่อโหนด C จับโทเคนไว้ตรวจพบว่ามีข้อมูลมาหา ตน โหนด C ก็จะคัดลอกข้อมูลไว้ จากนั้นก็จะกำหนดโทเคนให้เป็นโทเคนว่างแล้วปล่อยให้วิ่งวนต่อไปในเครือ ข่าย
                  เนื่องจากมีโทเคนเพียงโทเคนเดียวที่วิ่งวนอยู่ในเครือข่ายถ้ามีโหนดใดโหนดหนึ่งจับโทเคนไว้โหนด อื่น ๆ ที่ต้องการใช้โทเคนบ้างก็จะต้องรอจนกว่าโทเคนนั้นจะว่าง และวิ่งผ่านโหนดตน
                   โปรโตคอลแบบใช้โทเคนส่วนใหญ่ที่นิยมใช้กันในเครือข่าย LAN ได้แก่ โปรโตคอลแบบ Token Bus และ โปรโตคอลแบบ Token Ring ซึ่งจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป

                   โปรโตคอลแบบช่วงชิงกันส่งข้อมูล (Contention)
                   ในกรณีของโปรโตคอลแบบช่วงชิงกันส่งข้อมูล ทุก ๆ โหนดในเครือข่ายที่ต้องการจะส่งข้อมูลจะต้อง คอย "ฟัง" (ตรวจสอบ) สายสื่อสารโดยการส่งสัญญาณสุ่มเข้าไปในสายสื่อสารดูก่อนว่าสายสื่อสารของเครือข่ายนั้น ว่าง หรือมีการส่ง-รับข้อมูลกันอยู่หรือไม่ ถ้าสายไม่ว่างโหนดก็จะต้องรอและคอยส่งสัญญาณสุ่มเข้าไปตรวจสอบ อยู่เรื่อย ๆ เมื่อมีสัญญาณตอบกลับมาว่าสายสื่อสารว่างแล้ว โหนดก็จะสามารถเริ่มส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ ปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้ก็คือถ้ามีโหนดมากกว่า 1 โหนดต้องการจะส่งข้อมูลในเวลาเดียวกัน และเมื่อได้รับ สัญญาณตอบกลับมาว่าสายสื่อสารนั้นว่างพร้อมที่จะส่งข้อมูลได้ แต่ละโหนดก็จะต้องช่วงชิงกันเป็นผู้ที่ได้ส่งโหนด แรก ซึ่งในกรณีนี้เองอาจจะมีโหนดมากกว่า 1 โหนดที่ส่งข้อมูลเข้าสายสื่อสารพร้อม ๆ กัน ซึ่งจะทำให้เกิดข้อมูล ชนกัน เมื่อข้อมูลเกิดชนกันโหนดที่ส่งข้อมูลนั้น ๆ จะหยุดส่งข้อมูลและรอเวลาที่จะถูกสุ่มขึ้นโดยแต่ละโหนดจะมี การสุ่มเวลาต่างกัน ซึ่งทำให้แต่ละโหนดมีความพร้อมที่จะส่งข้อมูลใหม่ต่างกัน โหนดใดที่สุ่มเวลาได้เร็วที่สุดก็จะ มีสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะส่งข้อมุลเข้าสู่สายสื่อสารได้ วิธีการดังกล่าวนี้เรียกว่า "CSMA/CD"(Carrier Sense Multiple Access/Collision Detection)
                   Carrier Sense หมายถึงว่าโหนดสามารถฟัง หรือรับรู้ถึงสัญญาณคลื่นพาห์ที่วิ่งวนอยู่ในเครือข่าย เพื่อบอกสถานะของสายสื่อสาร Multiple Access หมายถึงว่า โหนดต่าง ๆ สามารถติดต่อสื่อสาร หรือเข้าสู่ เครือข่ายได้ในเวลาเดียวกัน ส่วน Collision Detection ก็คือการป้องกันการชนกันของสัญญาณภายในเครือข่าย เรื่องของโปรโตคอล CSMA/CD จะนำมาเสนอรายละเอียดในส่วนถัดไป