มาตราฐาน IEEE 802 กับ LAN โปรโตคอล
มาตราฐาน
IEEE ที่ประกาศใช้กันทั่วโลกเป็นการกำหนดมาตราฐานของ LAN โปรโตคอลที่ใช้ กับเลเยอร์ชั้น
LLC และชั้น MAC ซึ่งมีมาตราฐานที่เราศึกษากันดังต่อไปนี้ 1. IEEE 802.1 เป็นมาตราฐานกำหนดการอินเตอร์เฟซกันในเครือข่าย และระหว่างเครือข่าย และเป็นข้อแนะนำเกี่ยวกับมาตราฐานต่าง ๆ ที่ตามมา 2. IEEE 802.2 เป็นมาตราฐานกำหนดโปรโตคอลในเลเยอร์ชั้น LLC 3. IEEE 802.3 เป็นมาตราฐานกำหนดโปรโตคอลในเลเยอร์ชั้น MAC สำหรับโปรโตคอล CSMA/CD โทโปโลยีแบบ BUS 4. IEEE 802.4 เป็นมาตราฐานกำหนดโปรโตคอลในเลเยอร์ชั้น MAC สำหรับโปรโตคอล Token Bus โทโปโลยีแบบ BUS 5. IEEE 802.5 เป็นมาตราฐานกำหนดโปรโตคอลในเลเยอร์ชั้น MAC สำหรับโปรโตคอล Token Ring โทโปโลยีแบบ Ring |
โปรโตคอล IEEE 802.3 , CSMA/CD และ EtherNet |
มีบางคนเข้าใจผิดว่าทั้ง
IEEE 802.3 , CSMA/CD และ EtherNet เป็นโปรโตคอลแบบเดียว กัน ความจริงนั้นมาตราฐาน
IEEE 802.3 คือมาตราฐานสำหรับ 1-persistant CSMA/CD ที่ใช้ในเครือข่าย LAN
ส่วนโปรโตคอล CSMA/CD นั้น แบ่งออกเป็น 3แบบ คือ Non-persistant , 1- persistant
และ P-persistant และคำว่า "EtherNet" เป็นชื่อทางการค้าของระบบเครือข่ายท้องถิ่นที่พัฒนาโดยบริษัท
Xerox ซึ่งโทโปโลยีแบบ BUS (ในปัจจุบันนิยมใช้กับโทโปโลยีแบบ STAR มากกว่า)
และใช้โปรโตคอล CSMA/CD มาตราฐาน IEEE 802.3 เป็นมาตราฐานที่ร่วมกำหนดโดยบริษัท Xerox , บริษัท DEC และ บริษัท Intel สำหรับเป็น โปรโตคอลมาตราฐานเครือข่าย EtherNet ที่มีอัตราเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps (ปัจจุบันได้พัฒนามาใช้ที่ ความเร็ว 100 Mbps ได้ในชื่อว่า Fast EtherNet และยังพัฒนาไปที่ความเร็ว 1,000 Mbps )โดยใช้อธิบาย เฉพาะโปรโตคอลแบบ 1-persistant CSMA/CD เท่านั้น ซึ่งมีกฏเกณฑ์การทำงานคือโหนดหรือสเตชั่นจะส่ง ข้อมูลได้ก็ต่อเมื่อสายสื่อสารว่าง ถ้าสายสื่อสารไม่ว่างโหนดก็จะต้องคอยจนกว่าสายจะว่างจึงจะสามารถส่งข้อมูล สู่สายสื่อสารได้ ถ้าหากมีโหนดมากกว่า 2 โหนดส่งข้อมุลเข้าสู่สายสื่อสารในเวลาเดียวกัน ข้อมูลของแต่ละ โหนดจะเกิดการชนกัน ดังนั้นโหนดทั้งหมดที่ส่งข้อมูลออกมาชนกันนั้นจะต้องหยุดการส่งข้อมูล แล้วรอเวลาซึ่ง จะสุ่มขึ้นมา โหนดใดที่ใช้เวลาในการสุ่มน้อยที่สุดก็จะมีสิทธิในการส่งข้อมูลก่อน โหนดที่เหลือก็จะไม่สามารถ ส่งข้อมูลได้ เพราะสายสื่อสารเริ่มไม่ว่างแล้ว โปรโตคอล CSMA/CD เป็นชื่อโปรโตคอลที่ทุกโหนดของเครือข่ายสามารถเห็นข้อมูลที่ไหลอยู่ในสายสื่อสารของเครือข่าย แต่จะมีเพียงโหนดเดียวเท่านั้นที่ถูกกำหนดให้เป็นตำแหน่งปลายทางมาในข้อมูลสามารถคัดลอกข้อมูลนั้นไปได้ ในการจะส่งข้อมุลโหนดจะต้องฟังสายสื่อสารก่อน และจะส่งข้อมูลได้ก็ต่อเมื่อสายสื่อสารว่างเท่านั้น โปรโตคอล CSMA/CD มี 3 ชนิดด้วยกันคือ 1. 1- persistant CSMA/CD โหนดหรือสเตชั่นจะส่ง ข้อมูลได้ก็ต่อเมื่อสายสื่อสารว่าง ถ้าสายสื่อ สารไม่ว่างโหนดก็จะต้องคอยจนกว่าสายจะว่างจึงจะสามารถส่งข้อมูล สู่สายสื่อสารได้ ถ้าหากมีโหนดมากกว่า 2 โหนดส่งข้อมุลเข้าสู่สายสื่อสารในเวลาเดียวกัน ข้อมูลของแต่ละ โหนดจะเกิดการชนกัน ดังนั้นโหนดทั้งหมดที่ส่ง ข้อมูลออกมาชนกันนั้นจะต้องหยุดการส่งข้อมูล แล้วรอเวลาซึ่ง จะสุ่มขึ้นมา โหนดใดที่ใช้เวลาในการสุ่มน้อยที่ สุดก็จะมีสิทธิในการส่งข้อมูลก่อน โหนดที่เหลือก็จะไม่สามารถ ส่งข้อมูลได้ เพราะสายสื่อสารเริ่มไม่ว่างแล้ว 2. Non - persistant CSMA/CD ในโปรโตคอลแบบนี้โหนดจะมีความพยายามในการจะเป็นผู้ส่ง ข้อมูลน้อยกว่าแบบ 1- pepsistant ก่อนทำการส่งข้อมูลโหนดจะฟังสายสื่อสารก่อน ถ้าสายว่างก็จะส่งข้อมูลเข้า สูสายสื่อสาร แต่ถ้าสายไม่ว่างโหนดจะไม่จองสิทธิการส่งข้อมูลเพื่อสามารถส่งข้อมูลได้ ทันทีที่สายว่าง แต่จะรอ ช่วงระยะเวลาหนึ่งจากนั้นจึงค่อยฟังสายสื่อสารใหม่ว่าว่างหรือยัง ด้วยวิธีการรอจนกว่าสายจะว่างจริง ๆ ทำให้การ สื่อสารโดยโปรโตคอล Non-persistant นี้สามารถหลีกเลี่ยงการชนกันของสัญญาณได้ดี แต่ก็จะเสียเวลาใน การรอมากกว่าโปรโตคอลแบบ 1- persistant 3. P-persistant CSMA/CD เป็นโปรโตคอลที่ใช้กับช่องทางสื่สารแบบสล็อต ในการทำงานโหนด จะรอจนกว่าสายสื่อสารจะว่างแล้วจะเริ่มส่งข้อมูลจำนวนหนึ่งเข้าสู่สายด้วยจำนวนความน่าจะเป็น(probability) เท่ากับ p โดยข้อมูลที่เหลือคือ q ซึ่งเท่ากับ 1-p จะรอส่งไปในสล็อตต่อไป ถ้าสล็อตต่อไปว่างโหนดก็จะส่งข้อมูล ที่เหลือ (q) สุ่สายสื่อสารทันที แต่ถ้าสล็อตต่อไปไม่ว่าง โหนดก็จะรอจนกว่าสล็อตว่างจะผ่านมาถึงแล้วจึงทำการ ส่งข้อมูลส่วนที่เหลือต่อไป แตถ้าในขณะที่รอสล็อตว่างมีโหนดอื่นเริ่มส่งข้อมูลเข้าสู่สายสื่อสารบ้าง (ซึ่งก็ทำให้ สล็อตไม่ว่าง) ก็จะเกิดการชนกันของข้อมูล ในตอนนี้ทุกโหนดที่ส่งข้อมูลเข้ามาก็จะหยุดส่งข้อมูลแล้วจะรอเวลา ที่สุ่มขึ้น โหนดที่มีสิทธิก่อนก็จะเริ่มส่งข้อมูลได้ก่อน |
เครือข่าย EtherNet |
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า EtherNet เป็นเครือข่ายท้องถิ่นที่ใช้โปรโตคอลแบบ CSMA/CD โดยไม่ได้ เจาะจงว่าจะใช้โปรโตคอล CSMA/CD ชนิดใด โทโปโลยีของ Ethernet จะเป็นแบบ BUS (ในปัจจุบันเนื่อง จากอุปกรณ์เครือข่ายถูกลง จึงนิยมใช้โทโปโลยีแบบ STAR แทน) โทโปโลยีแบบ BUS มี 2 แบบคือแบบ Thick EtherNet จะสายโคแอกเชียลมาตรฐาน ส่วน Thin EtherNet จะเป็นสายเคเบิลที่เล็กกว่าและอ่อน งอง่ายการเชื่อมสายจะใช้ทรานซีฟเวอร์รูปตัว T แทนที่ที่จะใช้แทป อย่างไรก็ตาม EtherNet ทั้ง 2 แบบ สามารถเชื่อมโยงกันได้โดยการใช้รีพีตเตอร์หรือบริดจ์ |
รูปแสดง การเชื่อมโยงในเครือข่าย EtherNet |
ปกติทรานซีฟเวอร์จะต่อเข้ากับแผง
Network Adapter ของโหนดโดยสายทรานซีฟเวอร์มีการ กำหนดไว้ว่าจะยาวได้ไม่เกิน
50 เมตร ความยาวสูงสุดของสายเคเบิลของ EtherNet ที่กำหนดไว้ในมาตราฐาน IEEE
802.3 คือ 500 เมตร ซึ่งถ้าต้องการจะต่อสายเคเบิลให้ยาวออกไปอีกก็ต้องใช้รีพิตเตอร์ช่วย
รีพิตเตอร์ เป็นอุปกรณ์ในเลเยอร์ชั้น Physical มีหน้าที่ทบทวนสัญญาณ และสามารถส่งสัญญาณได้ทั้ง
2 ทิศทาง โดยปกติ แล้วจะกำหนดให้มีรีพิตเตอร์ได้ไม่เกิน 4 เครื่องในช่วงระหว่างทรานซีฟเวอร์
2 ตัว และระหว่างทรานซีฟเวอร์ 2 ตัวจะต้องอยู่ห่างกันได้ไม่เกิน 2.5 km. ด้วย นอกจากจะใช้รีพิตเตอร์ในการช่วยเพิ่มระยะทางการสื่อสารได้แล้ว เราอาจจะใช้บริดจ์ หรือมีชื่อ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ซีเลกทีฟ รีพิตเตอร์ (Selective Repeater) แทนรีพิตเตอร์ได้ เนื่องจากบริดจ์สามารถ เชื่อมโยงสายเคเบิลได้มากกว่า 1 ทาง ดังนั้นบริดจ์จึงสามารถเลือก หรือสลับเส้นทางการส่งสัญญาณข้อมูลไป ในเส้นทางเฉพาะได้ |
โปรโตคอล IEEE 802.4 Token Bus |
แม้ว่าโปรโตคอล
IEEE 802.3 จะเป็นที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางในระบบเครือข่ายท้องถิ่นใน สำนักงาน
แต่ก้มีข้อเสียคือเรื่องของเวลา ดังได้กล่าวมาแล้วว่าในการใช้โปรโตคอล IEEE
802.3 หรือ CSMA/CD นั้น เวลาส่วนหนึ่งจะสูญเสียไปกับการรอคอยให้สายสื่อสารว่าง
จึงทำให้โปรโตคอล IEEE 802.3 ไม่เหมาะสมกับระบบงานที่ต้องการการตอบสนองต่อเวลาที่ถูกต้อง
(Real-Time System) มาตรฐาน IEEE 802.4 เป็นมาตรฐานกำหนดโปรโตคอลสำหรับเลเยอร์ชั้น MAC ในเครือข่าย LAN มีชื่อเรียกทั่วไปว่า "โปรโตคอลแบบ Token Bus" โดยที่เครือข่ายจะมีโทโปโลยีทางกายภาพเป็นแบบ BUS หรือ TREE (Physical Bus/Tree) แต่จะมีโทโปโลยีทางจินตภาพเป็นแบบ RING (Logical Ring) โทโปโลยีแบบ BUS นั้นเป็นรูปแบบเครือข่ายที่สามารถติดตั้ง และดูแลรักษาได้ง่าย ส่วนในการส่ง-รับข่าวสาร ข้อมูลนั้นจะอาศัยหลักการการทำงานของโทโปโลยีแบบ RING ซึ่งทำให้แต่ละโหนดรู้จักลำดับตำแหน่งของ โหนดตนเองและโหนดข้างเคียงด้วยดังนั้นในการส่ง - รับข้อมูลลำดับของตำแหน่งของโหนดทางจินตภาพจะมี ความสำคัญมากในขณะที่ตำแหน่งของโหนดทางกายภาพจะไม่มีความสำคัญเลย ในส่วนการทำงานของโปรโตคอลแบบ Token Bus เมื่อโหนดต้องการจะส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่าย โหนดจะต้องรอจนกว่าจะมีโทเคนว่างวิ่งผ่านมายังโหนดของตน โหนดก็จะจับโทเคนว่างนั้นไว้แล้วจึงส่งข้อมูล เข้าไปพร้อมกับโทเคน โทเคนไม่ว่างจะวิ่งวนไปในสายสื่อสารตามลำดับตำแหน่งของโหนดในวงแหวนจินตภาพ จนถึงโหนดปลายทาง ๆ ก็จะคัดลอกข้อมูลนั้นไว้จากนั้นจึงจะปล่อยสู่วงแหวนจินตภาพต่อไป เนื่องจากระหว่าง การส่ง - รับข้อมูลหรือไม่ หรืออาจจะไม่ตรวจสอบเลยก็ได้ จากนั้นโหนดผู้ส่งก็จะกำหนดให้โทเคนนั้น เป็นโทเคน ว่างปล่อยสู่วงแหวนจินตภาพต่อไป เนื่องจากระหว่างการส่ง-รับข้อมูลจะมีโหนดเพียงโหนดเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ ถือโทเคนไว้ ดังนั้นการชนกันของสัญญาณข้อมูลจึงไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ปกติสายสื่อสารในเลเยอร์ชั้น Physical ของ Token Bus จะใช้สายโคแอกเชียลบรอดแบรนด์ 75 โอห์ม เช่นเดียวกับสายเคเบิลของ โทรทัศน์ โดยมีอัตราเร้วในการส่งข้อมูลประมาณ 1-10 Mbps |
ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในเครือข่าย ที่ใช้โปรโตคอลแบบ Token Bus ได้แก่ กรณีที่โทเคนหายไป จากวงแหวนจินตภาพ ซึ่งอาจจะเกิดจากมีโหนดใดโหนดหนึ่งที่ถือโทเคนไว้หลุดออกไปจากเครือข่ายอาจ จะเนื่อง ด้วยสาเหตุว่าสายหลุด หรือไฟดับ หรือเหตุอื่นๆ ก็ตาม ในขณะที่โหนดอื่น ๆ ในเครือข่ายยังคงทำงานปกติ ก็ สามารถทำให้โทเคนหายไปจากวงแหวนได้ ในกรณีนี้ LAN ซอฟต์แวร์จะทำการกำหนดวงแหวนจินตภาพใหม่ ่โดยจะไม่รวมโหนดที่หายไป และกำหนดโทเคนขึ้นมาใหม่ อีกปัญหาหนึ่งก็คือการเกิดมีโทเคนมากกว่า 1 โทเคนขึ้นในวงแหวน ซึ่งจะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในการส่ง - รับข้อมูลในเครือข่าย |
โปรโตคอล IEEE 802.5 Token Ring |
เครือข่ายที่ใช้โทโปโลยีแบบ
Ring (ในที่นี้หมายถึงกายภาพ) จะมีการเชื่อมโยงเป็นแบบจุดต่อจุด (Point-to-Point)
ต่อกันเป็นวง นิยมใช้กันทั้งในเครือข่ายระดับท้องถิ่น(LAN)และระดับข้ามประเทศ(WAN)
สามารถใช้ได้กับสายสื่อสารที่เป้นสายเกลียวคุ่ สายโคแอกเชียล และสายไฟเบอร์ออปติก
นอกจากนั้นเครือข่าย แบบ RING ยังใช้สื่อสารได้ทั้งสัญญาณแบบเบสแบนด์และแบบบรอดแบนด์
สามารถทำการส่ง-รับข้อมูลได้ดีทั้ง ในเลเยอร์ระดับบนและระดับล่างด้วยเหตุผลต่าง
ๆ นี้เองบริษัทยักา์ใหญ่อย่าง IBM จึงเลือกโทโปโลยีแบบ Ring เป็นโทโปโลยีสำหรับเครือข่าย
LAN ของระบบสื่อสารข้อมูลของเครื่อง IBM นอกจากนี้องค์กร IEEE ยังบรรจุ มาตรฐานการสื่อสารในเครือข่าย
LAN แบบ Ring ลงในมาตรฐาน IEEE 802 ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "มาตรฐาน IEEE
802.5" มาตรฐานโปรโตคอลแบบหนึ่งของ IEEE 802.5 ก็คือโปรโตคอล Token Ring (ซึ่งถือว่าเป็น มาตรฐานโปรโตคอลของ IBM Ring ด้วย) มีลักษณะการเชื่อมโยงในเครือข่ายเป็นดังรูป |
จากรูป
แต่ละโหนดจะเชื่อมต่อกับอินเตอร์เฟซ และอินเตอร์เฟซของแต่ละโหนดจะเชื่อมโยงแบบ
จุดต่อจุดเรียงกันเป็นวงแหวน หรือ Ring ในวง Ring จะมีกลุ่มบิตควบคุมพิเศษ
หรือโทเคนวิ่งวนไปรอบ ๆ ผ่าน ไปตามอินเตอร์เฟซของทุกโหนดเมื่อสายสื่อสารว่างไม่มีการส่ง-รับข้อมูล อินเตอร์เฟซใน Ring มีโหนดการทำงาน 2 แบบ คือโหมดการฟังสายสื่อสาร และโหมดส่ง-รับข้อมูล ในส่วนของโหมดการฟัง อินเตอร์เฟซจะรับสัญญาณของโทเคนเข้าสู่บัฟเฟอร์ของอินเตอร์เฟซ จากนั้นก็จะตรวจ สอบสถานะของโทเคนดู หรืออาจจะเปลี่ยนแปลงสถานะของโทเคนก้ได้ก่อนส่งออกไป สัญญาณของโทเคนที่เข้า มาแล้วออกจากอินเตอร์เฟซ จะใช้เวลาเท่ากับ 1 บิตเวลา ซึ่งในเวลานี้อินเตอร์เฟซก็จะสามารถรู้ได้ว่าสายสื่อสาร หรือโทเคนนั้นว่างหรือไม่ว่าง ส่วนในโหมดการส่ง-รับข้อมูล เมื่ออินเตอร์เฟซจับโทเคนว่างได้แล้ว ก็จะตัดการ เชื่อมโยงของสัญญาณข้าและออก และจะใส่ข้อมูลที่ต้องการส่งให้ปลายทางเข้าไปกับโทเคน แล้วจึงทำการส่ง โทเคนที่บรรจุข้อมูลเข้าสู่สายสื่อสารเพื่อส่งต่อไปยังโหนดปลายทาง ที่โหนดปลายทางอินเตอร์เฟซของโหนด ปลายทางก็จะรับกลุ่มบิตข้อมูลจากโทเคนเข้าไปให้โหนดเพื่อคัดลอกข้อมูลไว้ แล้วส่งกลุ่มบิตนั้นกลับไปยังโหนด ผู้ส่ง โหนดผู้ส่งอาจจะบันทึกข้อมูลนั้นเพื่อนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลเดิมที่ส่งออกไป เพื่อตรวจสอบดูว่า มีความผิดพลาดเกิดขึ้นในระหว่างการส่ง - รับข้อมูลหรือไม่ หรืออาจจะไม่สนใจข้อมูลที่กลับมา จากนั้นโหนด ผุ้ส่งจะจัดการเปลี่ยนกลุ่มบิตควบคุมของโทเคนให้มีสถานะเป็นโทเคนว่าง และส่งโทเคนว่างกลับเข้ามาไปยังวง Ring ต่อไป จากนั้นอินเตอร์เฟซก็จะสวิตซ์กลับมาอยุ่ในโหมดการฟังต่อไป สำหรับในโปรโตคอล Token Ring ไม่มีการจำกัดขนาดของเฟรมข้อมูล จะมีเพียงโหนดเดียว เท่านั้นที่สามารถใช้โทเคนซึ่งมีอยู่เพียงโทเคนเดียวได้เช่นเดียวกับโปรโตคอ ล Token Bus ดังนั้นจึงไม่มีปัญ หาการชนกันของสัญญาณข้อมูล ในขณะที่ไม่มีการส่ง-รับข้อมูล โทเคนขนาด 3 ไบต์นี้จะวิ่งวนไปเรื่อย ๆ ในรอบ วง Ring อย่างไม่มีสิ้นสุด แต่ในขณะที่ทุกโหนดมีความต้องการที่จะส่งข้อมูลจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงาน ของเครือข่ายทำงานได้อย่างเต็มที่เกือบจะ 100 % ในลักษณะที่ต่อเนื่องกันตลอดเวลาซึ่งเรียกว่า "Round-Robin fashion" สำหรับในเลเยอร์ชั้น Physical ของมาตราฐาน IEEE 802.5 สายเกลียวคู่สามารถส่งข้อมูลได้ด้วย อัตรา 1-4 เมกะบิตต่อวินาที ในขณะที่มาตรฐานของ IBM Token Ring กำหนดไว้ว่ามีอัตราเร็วเป็น 4 Mbps |
มาตราฐาน FDDI |
มาตราฐาน FDDI (Fiber Distributed Data Interface) เป็นมาตราฐานโปรโตคอลแบบเดียว กับโปรโตคอล Token Ring เพียงแต่ไม่ได้บรรจุอยู่ในมาตราฐาน IEEE 802 เท่านั้นเอง ลักษณะของกลุ่มบิต ข้อมูลที่ใช้ส่งผ่านไปในวง Ring ก็เป็นเช่นเดียวกันกับที่ส่งใน IEEE 802.5 Token Ring เพียงแต่ว่าสามารถ ส่งด้วยอัตราเร็วที่สูงกว่า เพราะว่าสายสื่อสารที่ใช้เป็นสายไฟเบอร์ออปติก ซึ่งทำให้สามารถส่งข้อมูลได้ด้วยอัตรา เร็วถึง 100 Mbps มาตราฐาน FDDI มักจะนำมาใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างวง Ring 2 วงเข้าด้วยกันมากกว่า ที่จะนำมาใช้สื่อสารภายในวง Ring เพราะว่าสายไฟเบอร์ออปติกมีราคาแพง และยังต้องใช้อุปกรณ์พิเศษราคา แพงในการติดตั้ง และการติดตั้งก็ต้องใช้เทคนิคสูง |
มาตราฐาน DOD's TCP/IP |
มาตราฐานของโปรโตคอลแบบ TCP/IP ซึ่งกำหนดขึ้นโดยองค์กร DOD ก็เป็นโปรโตคอลอีกชนิด หนึ่งที่ได้มีการนำมาใช้กับเครือข่าย LAN หลังจากได้ถูกนำมาใช้ในเครือข่าย WAN ได้ผลเป็นอย่างดีมาแล้ว ข้อดีของโปรโตคอล TCP/IP คือความสามารถในการจัดการให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีระบบความแตกต่างกัน สามารถทำงานด้วยกันได้เป้นอย่างดีทั้งในเลเยอร์ชั้น Data Link และชั้น Physical รายละเอียดของโปรโตคอล TCP/IP ขอให้ดูในเรื่องสถาปัตยกรรมเครือข่าย TCP/IP |
บทส่งท้าย |
เรื่องราวของเครือข่ายท้องถิ่น LAN นั้นเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสนใจเพราะในปัจจุบัน เป็นยุคแห่ง ระบบข้อมูลสารสนเทศซึ่งในที่นี้ จะให้ความรู้เพียงเกริ่นนำ ผู้ที่สนใจต้องศึกษาเพิ่มเติมอีกมาก เพราะมีมาตร ฐานใหม่ ๆ เทคนิคใหม่เกิดขึ้นมาในปัจจุบัน เช่น Gigabit EtherNet หรือ DSL ซึ่งจะส่งผลในอนาคตอันใกล้ ผู้จัดทำWeb บทเรียน Online นี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความรู้ต่าง ๆ ในWeb นี้จะทำให้ผู้สนใจเกิด Concept เกี่ยวกับ Data Communication มากขึ้น และขออภัยมา ณ ที่นี้ถ้าหากเกิดความผิดพลาดในการจัดทำ และความคาดเคลื่อนในข้อมูลเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งเกิดขึ้นทุกวัน |
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น